
ปี 2020 คงไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ Johnny Depp ที่มีเรื่องให้ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลตลอดปี แถมยังตกเป็นผู้แพ้คดีให้กับสื่ออังกฤษที่ศาลไม่ยอมรับคำร้องอุทธรณ์และสั่งให้จ่ายค่าปรับ 840,000 เหรียญฯ หรือประมาณ 25 ล้านบาท ด้านการแสดงก็ถูกบังคับกลาย ๆ ให้ถอนตัวจากแฟรนไชส์ดัง Fantastic Beasts 3 แม้ว่าจะได้รับเงินค่าตัวเต็มจำนวนคือ 16 ล้านเหรียญฯ (ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่า 10 ล้านเหรียญฯ แต่ Warner Brothers ยืนยันใหม่อีกครั้งว่าเป็น 16) แม้จะเพิ่งถ่ายไปได้แค่ฉากเดียว

ล่าสุดมีรายงานเปิดเผยจากสื่อ The Hollywood Reporter อ้างแแหล่งข่าวบอกว่า ช่วงที่ Depp กำลังถ่ายหนัง Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales (2017) ที่ประเทศออสเตรเลียนั้น เขากินยาเอ็กสตาซี หรือก็คือยาอีที่เรารู้จักกันไปทั้งหมด 8 เม็ดภายในครั้งเดียวช่วงวันหยุดสำหรับการถ่ายทำของเขา เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือ เขาได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรงกับ Amber Heard อดีตภรรยา และจบลงตรงที่ Depp ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพราะปลายนิ้วขาดจากการที่ Heard ขว้างแก้วใส่นิ้วของเขา

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ กองถ่าย Pirates of the Caribbean ต้องหยุดถ่ายทำชั่วคราวราว 2 สัปดาห์ เพื่อให้ Depp บินกลับไปผ่าตัดที่สหรัฐฯ และผลจากการต้องหยุดกองกะทันหันเพื่อรอเขากลับมาถ่าย ทำให้ Disney ต้องเสียค่าใช้จ่ายราว 350,000 เหรียญฯ ต่อวันรวมแล้วเป็นเงินเกือบ 5 ล้านเหรียญฯ (เทียบกับค่าตัวที่เขาได้จากเรื่องนี้ที่ 20 ล้านเหรียญฯ ก็กลายเป็น Disney แทบจะต้องจ่ายค่าตัวเขาเป็น 25 ล้านเหรียญฯ นั่นเอง)

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักแสดงดังระดับโลกผู้เคยมีหนังฮิต ๆ เล่นไม่ขาดมือ ไม่ได้ปิดบังการใช้ยาเสพติดของเขา อย่างเช่นในเดือนมิถุนายน ปี 2018 ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่ออย่าง Rolling Stone เขาเข้า ๆ ออก ๆ ห้องที่ใช้สัมภาษณ์หลายครั้งซึ่งนักข่าวเชื่อกันว่าเขาแอบไปเสพโคเคนในห้องพัก รวมถึงเขาก็ยอมรับว่าเขามักซื้อไวน์มาดื่มเป็นเงินเกือบ 5,000 เหรียญฯ ต่อเดือนเลยทีเดียว
นอกจากนี้ในรายงานยังเปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ของ Depp กับ Jerry Bruckheimer ผู้อำนวยการสร้างคนดังจากยุค 90s และเป็นผู้ปั้นหนัง Pirates of the Caribbean นั้นไม่ค่อยจะดีมาสักพักแล้ว และในรายงานล่าสุด หัวหน้าสตูดิโอแห่งหนึ่งถึงขั้นกล่าวว่า เขาไม่สามารถทำงานร่วมกับ Depp ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะเขาเป็นคน “เอาแน่เอานอนไม่ได้” ซึ่งผลการตัดสินที่เป็นผลไม่ดีต่อเขาในปีนี้ก็ยิ่งทำให้ภาพพจน์และความน่าเชื่อถือของ Depp ลดต่ำลงไปอีก

จึงไม่น่าแปลกใจที่แฟรนไชส์นี้จะเลือกเริ่มต้นกับนักแสดงใหม่อย่าง Margot Robbie ที่จะเป็นแกนหลักของแฟรนไชส์นับจากนี้ (และมีข่าววว่า Amber Heard ที่เป็นแก๊งเพื่อนสนิทของ Robbie ก็อยากมาเล่นในหนังให้ Depp เจ็บจี๊ดหัวใจเล่น ๆ ด้วย) ก่อหน้านี้ Depp ฟ้อง Heard เป็นเงิน 50 ล้านเหรียญฯ ฐานที่เธอออกมาให้ข่าวว่าถูกเขาทำร้ายร่างกายก่อน Disney จะตัดสินใจไม่ไปต่อกับเขาในหนังภาคต่อไปแค่สัปดาห์เดียว และ Depp เชื่อว่าเป็นเพราะกระแสลบ ๆ จากข่าวทำให้เขาพลาดโอกาสแสดงภาค 6 ไป

The Hollywood Reporter ยังได้ทำรายงานสรุปรายได้ของ Depp ให้ดูด้วยว่า ตลอด 13 ปีที่นับเป็นช่วงขาขึ้นของเขา มีงานแสดงเด่น ๆ ของค่าย Disney อย่าง Pirates of the Caribbean 5 ภาค (2003-2017) และ Alice in Wonderland 2 ภาค (2010-2016) เขารับค่าตัวไปทั้งสิ้นราว 650 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 19,500 ล้านบาท โดย 55 ล้านเหรียญฯ ในนั้นคือค่าตัวจาก Alice in Wonderland (2010) ภาคแรก ซึ่งเขาได้จากส่วนแบ่งกำไรที่หนังทำเงินทั่วโลกเกินพันล้านเหรียญฯ เทียบกับหนังเรื่องล่าสุด Minamata ที่เตรียมจะเข้าฉายในสหรัฐฯ กุมภาพันธ์ปีหน้า Depp เรียกค่าตัวแค่ 3 ล้านเหรียญฯ เท่านั้นในช่วงขาลงแบบนี้



The post Johnny Depp เสพยาอีจนทำให้ Disney สูญเงินหลายล้านช่วงถ่ายทำ Pirates of the Caribbean appeared first on #beartai.